สปอยล์ Mouse ตอนที่ 8

8

ฮันซอจุนไม่เคยเรียนรู้หรือสอนใครเรื่องการผูกเงื่อนเชือก บารึมเชื่ออย่างนั้นเพราะเงื่อนที่อยู่บนหัวหนูผูกไปทางขวา แต่เงื่อนที่ข้อมือเหยื่อรายล่าสุดผูกไปทางซ้าย ฉะนั้นฮันซอจุนไม่ใช่คนฆ่าลูกสาวของผู้กองพัคดูซอกแต่อาจมีผู้สมรู้ร่วมคิด

พีดีชเวจำได้ว่าตอนเป็นเด็กฮันซอจุนเคยใช้เธอผูกเงื่อนเชือกกับเหยื่อของเขา โกมูจีและบารึมสืบคดีโดยย้อนไปที่คดีของซงซูจองซึ่งเป็นเหยื่อของฮันซอจุน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1994 และได้รู้จากพยานว่าในคืนนั้นมีเด็กอายุประมาณสิบขวบนั่งอยู่ด้านหน้ารถของฮันซอจุน ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่มีลูก

สำหรับเหยื่อสองรายล่าสุดคังมินจูและฮงนารี มูจีไม่พบว่ามีคนที่เหยื่อทั้งสองคนรู้จักตรงกันเลย มูจีจับได้ว่าพีดีชเวไปดูของในห้องเก็บหลักฐานของเขา เธอจึงบอกว่าเธออยากรู้ว่าเงื่อนที่ผูกคังมินจูกับฮงนารีเป็นเงื่อนชนิดเดียวกับที่ผูกลูกสาวของพัคดูซอกหรือไม่ บารึมสงสัยตัวเองที่รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นหน้าพีดีชเว

เมื่อหนึ่งเดือนก่อนขณะที่คังยองฮีพาหมาไปเดินเล่น แต่ทางบ้านคิดว่าเธอหนีออกจากบ้านจึงไปแจ้งความไว้ ต่อมาเธอถูกฆาตกรรมและหมาของเธอถูกแขวนคอ

ภาพเด็กอนุบาลเสื้อเหลืองที่โยนหนูเข้าไปในกรงงูยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของบารึม น้าสาวจึงบอกว่าจะเอารูปเก่าๆ มาให้ดูและบอกว่าเขาเคยเลี้ยงนกก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ บารึมเหม็นอาหารที่น้ากำลังทำให้ ซึ่งเมื่อก่อนนี้เคยเป็นของโปรดของเขา

บารึมกลับไปที่บ้านของบงอีและสถานที่เก่าๆ เขาจึงเริ่มจำเหตุการณ์ระหว่างเขาและคุณยายกับบงอีได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้บงอีไปอยู่ที่ไหน เขาเก็บแมวจรจัดท้องแก่กลับมาเลี้ยงที่บ้านและให้มันอยู่ในกรงนก ขณะที่ทำความสะอาดกรงอยู่นั้น ทำให้เขานึกถึงภาพถ่ายบริเวณรอบบ้านของเหยื่อ ซึ่งขอบหน้าต่างเป็นลูกกรงเหล็กสภาพใหม่เอี่ยม ต่างจากสภาพบ้านที่ทรุดโทรม

ต่อมาบารึมและมูจีสืบได้ว่าช่างที่มาติดลูกกรงเหล็กคือพวกอาสาสมัครที่สำนักงานพัฒนา ซึ่งเหยื่อไว้ใจและยอมให้เข้ามาในบ้าน สำนักงานพัฒนาเลี้ยงสุนัขสีขาวไว้ที่สนามด้านหน้า โดยมีอาสาสมัครผลัดกันดูแล ต่อมามูจีหาข้อมูลและรู้ว่าขนสุนัขที่ติดอยูบนที่คาดผมของเหยื่อที่ชื่อคังยองฮีต่างจากขนสุนัขของสำนักงานพัฒนา

ในการสัมภาษณ์อาสาสมัครแต่ละคน บารึมสงสัยอูยองชอลมากที่สุด จากท่าทางที่แสดงออกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งดูแล้วเหมือนพยายามแสดงละครต่อหน้าคนอื่น

หลังจากพ้นโทษออกมา คังด๊อกซูไปหาอูยองชอลซึ่งเคยเป็นอดีตทนายให้เขา เพื่อต้องการรู้ที่อยู่ของบงอีโดยอ้างว่าเขาต้องการไปขอโทษเธอ แต่อูยองชอลบอกว่าไม่รู้และฉีกเอกสารทิ้งหมดแล้วหลังจากที่ลาออกจากการเป็นทนาย

อาสาสมัครจองมันโฮถูกควบคุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัย เพราะพบว่าโทรศัพท์ของเขาอยู่ในบริเวณคืนที่องนารีถูกฆาตกรรม ระหว่างการสอบสวนเขาอ้างว่าไปที่ร้านช่างไม้ซึ่งเป็นเพื่อนกันและอ้างชื่ออูแจพิล อดีตตำรวจและเป็นพ่อของอูยองชอล มูจีจึงไปที่บ้านของเขาแต่ทว่าไม่พบใคร ยองชอลไม่ใช่ฆาตกรแต่เป็นพ่อของเขาที่ไปช่วยติดหน้าต่างเหล็กดัดแต่ไม่ได้ลงทะเบียนชื่อไว้ ต่อมามูจีพบอาวุธซ่อนอยู่ในบ้านสุนัขของแจพิล
บารึมพบชื่อและที่อยู่ของบงอี ในบัญชีรายชื่อผู้ยื่นคำขอติดเหล็กดัด เขาจึงไปหาเธอที่นั่น ในขณะที่เธอกำลังต่อสู้กับคนร้ายแจพิลอยู่ในบ้าน แต่เธอเอาตัวรอดได้จนคนร้ายวิ่งหนีออกมา บารึมวิ่งไล่ตามและซ้อมเขาจนถูกจับได้ ขณะที่ซ้อมคนร้าย ความทรงจำตอนที่ฆ่านักมวยก็ผุดขึ้นมาในหัว

แจพิลอาการสาหัสและพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เขายอมรับว่าฆ่าลูกสาวของพัคดูซอกและเหยื่อรายอื่นๆ หลังจากทุกคนออกจากห้องไปแล้ว พีดีชเวถามแจพิลว่าทำไมต้องโกหกว่าฆ่าเด็ก จากข่าวแจพิลพยายามทำร้ายบงอี ทำให้คังด๊อกซูรู้ที่อยู่ของเธอ เขาจึงตามไปที่นั่น

พีดีชเวไปแอบดูที่หน้าบ้านของพัคดูซอก ภรรยาของเขาจำสร้อยข้อมือที่เธอสวมได้ว่าเป็นของลูกสาวเธอ แต่พีดีชเวขับรถหนีไปเสียก่อน

บารึมไปปรึกษาหมออีกครั้งเพราะสงสัยว่าทำไมความทรงจำของหมอโยฮันจึงมาอยู่ในสมองของเขา แต่หมอบอกเพียงว่าเป็นอาการหลังการผ่าตัดและอาจเป็นเพราะบารึมเก็บข้อมูลของหมอโยฮันมากเกินไปขณะที่ทำคดี ต่อมาบงอีบอกว่าหมอคนนี้ไม่ใช่คนที่ผ่าตัดเขาแต่เป็นหมอที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ซึ่งเธอแอบได้ยินเขาคุยกับหมออีกคนหนึ่งเรื่องการผ่าตัดบารึม ในคืนที่เธอพยายามฆ่าหมอโยฮัน

ภรรยาของผู้กองพัคดูซอกตามไปฆ่าแจพิลที่โรงพยาบาลเมื่อรู้ข่าวว่าเขาฆ่าลูกสาวของเธอ มูจีขอรับผิดแทนเพราะต้องการเข้าไปฆ่าฮันซอจุนในคุก

บารึมได้ภาพล่าสุดของฮันซอจุนและส่งไปให้บงอีดู เธอยืนยันว่าเขาคือหมอที่ผ่าตัดให้บารึมจริงๆ จากนั้นบารึมไปหาฮันซอจุนที่เรือนจำ เพราะอยากรู้คำตอบ
ว่าฮันซอจุนทำอะไรกับสมองของเขาแล้วเอาสมองของซองโยฮันฝังไว้ในหัวของเขาใช่มั้ย