สปอยล์ Doctor John ตอนที่ 17-20
17-18
เมื่อลิฟท์เปิดออกมา หมอชากับชียองบังเอิญเจอกับกลุ่มนักข่าว หมอชาจึงบอกให้ชียองไม่ต้องออกมาและกดลิฟท์ให้ไปชั้นอื่นและเขาออกมาเผชิญกับนักข่าวคนเดียว ในขณะมีนักข่าวคนนึง พยายามถามคำถามเรื่องที่เขาได้กลับมาทำงานที่ศูนย์การแพทย์อีกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์การุณยฆาต โชคดีที่ทนายฮันมาช่วยหมอชาออกไปจากกลุ่มนักข่าวได้
หมอชาขอให้ทนายฮันขับรถไปส่งชียอง ทั้งที่เขาเองก็แอบไปยืนรอชียองที่บ้านจนเห็นชียองเดินเข้าบ้านไปอย่างปลอดภัย เขาจึงกลับบ้านไป
ทั้งชียองและหมอชาเองต่างก็นอนคิดเรื่องที่เกิดขึ้น
ทาง "จินมู รีเจนด์" ได้เข้ามาสนับสนุนนและบริหารศูนย์ความเจ็บปวด บรัษัทอันดับหนึ่งด้านยอดขายในเกาหลีและอุปกรณ์การแพทย์ที่จกสิทธิบัตร แถมขึ้นชื่อเรื่องการสนับสนุนด้านการทดลองและการวิจัยทางคลินิกอีกด้วย
ทุกคนในศูนย์รวมทั้งผู้บริหารต่างชื่นชมและยินดีที่หมอชานำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ศูนย์การแพทย์
ชียองเจอกับหมอชา หมอชาทักทายชียอง ชียองจึงถามว่าทำไมถึงไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หมอชาจึงบอกว่าการเงียบนั่นคือคำตอบ และขอบคุณชียองที่พูดแบบนั้นออกมา เขาดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
ที่ศูนย์ความเจ็บปวดทุกคนต่างขอบคุณและยินดีกับหมอชาที่นำความเปลี่ยนแปลงมายังศูนย์
ถึงเวลาประชุมเรื่องคนไข้ใหม่
ก็คือ คนไข้ยุนรีฮเย อายุ 37ปี เธอเป็นโรคเนื้องอกในโพรงจมูก และลามไปทั่วแล้ว
และเพราะเนื้องอกในโพรงจมูกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ทำให้ดวงตาของเธอถูกดันออกมาข้างนอก ใบหน้าของเธอจึงเสียโฉมและดูน่ากลัว ทั้งยังสูญเสียการมองเห็น การได้กลิ่นและการรับรู้รสชาติ การคีโมและฉายรังสีก็ไม่สามารถทำได้แล้ว ทำได้เพียงบรรเทาอาการปวดเท่านั้น หมอชาจึงต้องเร่งมือเพื่อช่วยเธออย่างเร่งด่วน
และการรักษาขั้นต้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยเครื่องมือการแพทย์ใหม่ที่เพิ่งได้รับ
หมอชามีอาการวิ้งในหัวจนหน้ามืด เขาจึงงดตรวจคนไข้และบอกกับทีมว่าเขาจะต้องเตรียมการสัมนา
หมอชาเตรียมเรื่องที่จะพูดในงานสัมนาวันต่อมาจนถึงดึก ขณะที่เขากำลังจะกลับบ้าน เขาปวดหัวและมีเสียงวิ้งในหัวจนหน้ามือล้มทรุดไป และตอนนั้นเองมีนักข่าวพยายามตามเขา หมอชาพยายามแข็งใจและพยายามเดินหนี อาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆในขณะที่เขากำลังเดินหนีไปทางบันไดหนีไป เสียงวิ้งในหัวทำให้เขารู้สึกทรมาน เขาเปิดประตูหนีไฟไปและเจอกับชียองที่กำลังเดินมาพอดี ชียองตกใจมากที่เห็นหมอชาในสภาพนั้น หมอชาพยายามบอกชียองว่านักข่าวกำลังตามเขามา ชียองรีบพาหมอชาหนีและเข้าลิฟท์ไปและหนีนักข่าวได้ทันเวลา หมอชาหมดสติไป ชียองโทรตามหมออีให้มาช่วยและพาหมอชาไปส่งที่โรงพยาบาลอื่น เมื่อไปถึงโรงพยาบาลชียองให้คุณหมอช่วยตรวจอย่างละเอียดรวมถึงซีทีสแกนสมองด้วยด้วย
ผ่านไปสักพักขณะที่ชียองคอยเฝ้าหมอชาไม่ห่าง หมอชาก็ฟื้นขึ้นมา ชียองจึงบอกหมอชาว่าเขาสลบไป หมอชาเป็นห่วงเรื่องที่นักข่าวตามเขา ชียองจึงบอกว่าเขาและเธอหนีนักข่าวมาได้ และเมื่อผลการตรวจออกมาหมอชาดูผลการตรวจของตัวเองที่ไม่มีอะไรผิดปกติ เขาจึงขอกลับบ้านทันที หมออีและชียองไปส่งหมอชาที่บ้าน
ชียองเป็นห่วงหมอชาและเมื่อหมออีกลับไป ชียองจึงไปหาหมอชาอีกครั้ง ชียองพยายามถามหมอชาว่าเกิดอะไรขึ้น หมอชาจึงบอกว่ามีเสียงวิ้งในหัวของเขา ชียองขอให้หมอชาไปตรวจอย่างละเอียดเพราะกลัวว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกจะทำอย่างไร
เธอเป็นห่วงหมอชามาก และบอกว่าเธอจะช่วยหมอชาทุกอย่างเอง
ชียองยืนยันว่าถ้าหมอชาอึดอัดเพราะที่เธอบอกชอบหมอชา เธอจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง
หมอชาบอกกับชียองว่าเขาไม่เป็นไร เขารู้จักร่างกายของเขาดี และการที่ชียองต้องเก็บความลับเรื่องโรคของเขานั้นก็เป็นสิ่งที่ชียองช่วยเขามากพอแล้ว และบอกให้ชียองกลับบ้านไปพักผ่อน
วันต่อมาในงานสัมนา มุมมองล่าสุดเกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วยซีไอพีเอ
ที่หมอชาเป็นคนนำเสนอ ในขณะที่มีคนกำลังถามคำถามอยู่นั้นหมอชาเกิดอาการวิ้งในหัวจนไม่ได้ยินที่คนถาม
อาการของเขาเริ่มเป็นเยอะขึ้นเรื่อยๆ
19-20
ในขณะที่หมอชากำลังบรรยายในงานสัมนาและกำลังตอบคำถามผู้เข้าร่วมสัมนาอยู่ เขาเกิดอาการได้ยินเสียงวิ้งในหัวจนตาพร่า ชียองขึ้นไปบนเวทีและมองหมอชาเพื่อสื่อให้เขารู้ว่าเธอมาช่วยเขาแล้ว หมอชาส่งมอบหน้าที่ให้ชียองบรรยายต่อจนจบ
หลังจบงานสัมนา หมอชายอมรับกับชียองว่าเขาได้ยินเสียงวิ้งในหัว และคงต้องเชื่อชียองและจะไปตรวจร่างกาย ชียองเป็นห่วงและถามหมอชาว่ามีไข้หรือเปล่า หมอชาจึงบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ชียองจึงเอามือแตะหน้าผากหมอชาเพื่อวัดไข้ หมอชาพูดถึงตอนที่เขามีอาการอยู่บนเวที เขาบอกว่าเขาเหมือนได้ยินเสียงชียองบอกว่าเธอจะช่วยเขาเอง และบอกกับชียองว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากชียอง และขอรบกวนชียองด้วย ชียองตอบรับด้วยความเต็มใจ หมอชาจึงขอตัวและบอกว่าจะไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด
และทันทีที่ตรวจเสร็จ หมอชาส่งข้อความชวนชียองไปหาอะไรกินด้วยกัน ชียองดีใจมากและรีบไปหาหมอชา
และทันทีที่ตรวจเสร็จ หมอชาส่งข้อความชวนชียองไปหาอะไรกินด้วยกัน ชียองดีใจมากและรีบไปหาหมอชา หมอชาบอกกับชียองว่าเขาได้ตรวจแบบครอบคลุมด้วย
ทั้งคู่ไปนั่งกินแซนวิชที่สวนสาธารณะด้วยกันและพูดคุยกัน ชียองเล่าให้หมอชาฟังว่าเธออยากเป็นเจ้าของร้านหนังสือการ์ตูน หมอชาจึงถามชียองว่าแล้วเขาเหมาะกับอะไร ชียองจึงบอกว่าเขาคิดไม่ออกเลยว่านอกจากหมอแล้วหมอชาเหมาะกับอะไร หมอชาจึงบอกว่าเผื่อว่าวันนึงเขาจะไม่ได้เป็นหมอแล้ว ชียองจึงขอหมอชาว่าหากเกิดอะไรขึ้นหมอชาจะต้องบอกเธอ หมอชาให้สัญญากับชียอง
ซอกกีไปที่แกลอรีที่แสดงผลงานของมูลนิธิดัลบิต ที่จินมู รีเจนด์เป็นเจ้าของ
ที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมเงินบริจาคสำหรับโรคที่พบได้ยากและรักษาไม่หาย และก็ได้เจอกับภาพวาดนึง ภาพวาดนั้นทำให้ซอกกีรู้สึก
ในทีมนักเรียนของหมอชา...
พูดถึงมูลนิธิแอมบูแลนซ์สานฝันในเนเธอร์แลนด์ พวกเขาเติมเต็มความต้องการสุดท้ายให้กับผู้ป่วยระยะสุดท้าย จึงมีความคิดว่าจะทำสิ่งนี้ให้กับคนไข้ยุนรีฮเย
จึงจัดตั้งเป็น "ชมรมสานฝันฮันเซ" ขึ้นมา
ทุกคนจึงแจ้งเรื่องนี้กับพี่สาวของเธอ พี่สาวของเธอจึงขอให้หมอช่วยทำเรื่องนี้แทนเธอ จึงขอให้ชียองซึ่งเป็นหมอของคนไข้ยุนรีฮเย และสิ่งที่รีฮเยต้องการมากที่สุดในชีวิตของเธอนั้นก็คือ อยากเจอลูกชาย แต่ทว่าลูกชายของเธอไม่กล้ามาหาเพราะกลัว และนั่นยิ่งทำให้รีฮเยเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก
ผลการตรวจของหมอชาออกมาแล้ว คุณหมอส่งข้อความให้หมอชารีบไปที่โรงพยาบาลทันที ชียองขับรถไปรับหมอชาแต่เช้าและไปส่งหมอชาที่โรงพยาบาลเพื่อฟังผล คุณหมอแจ้งกับหมอชาว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงไม่มากแล้ว หูชั้นในของเขาอักเสบจากเชื้อไวรัส และถ้าหากหมอชาต้องใช้สเตียรอยด์รักษา จะมีผลทำให้รับบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้เขาติดเชื้อได้ง่าย และจะตกอยู่ในอันตราย..
ถ้าเลือกจะเป็นหมอต่อไปเขาจะต้องรับความเสี่ยงทุกวินาทีที่เหลืออยู่ คุณหมอย้ำถามหมอชาว่าการเป็นหมอคือทั้งชีวิตของเขาหรือ
ทางฝั่งโรงพยาบาล ยุนรีฮเยขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าเพื่อจะกระโดดฆ่าตัวตาย ทีมแพทย์พยายามเกลี้ยกล่อมยุนรีฮเย ยุนรีฮเยขอร้องให้ทีมแพทย์ช่วยหยุดความเจ็บปวดของเธอโดยที่เธอไม่ต้องกระโดดลงไปนั่น หมายความว่าเธอขอให้ทีมแพทย์ทำการุณยฆาตกับเธอ แต่สิ่งนั้นทีมแพทย์ก็ทำให้เธอไม่ได้ ยุนรีฮเยจึงกระโดดลงไปต่อหน้าต่อตาทีมแพทย์
ทีมแพทย์รีบวิ่งลงไปช่วยยุนรีฮเย อย่างเร่งด่วน แต่ทว่าเพียงไม่นาน หมอฮอรีบวิ่งเข้ามาแจ้งกับทีมแพทย์คนอื่นๆว่า มีคนปิดเครื่องช่วยหายใจของเธอ และพยาบาลเห็นว่าหมอชาอยู่ในห้องของคนไข้ยุนรีฮเย...